บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) แถลงทิศทางและแผนการดำเนินธุรกิจในปี พ.ศ.2566 เร่งสานต่อธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบสู่กลุ่มผู้บริโภคให้ครบวงจรมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการบริหารธุรกิจพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESC ได้แก่ Environmental Socialและ Governance และเตรียมเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายที่ 8,600 ล้านบาท
ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่าสำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นปีที่ความเสี่ยงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ค่อยๆ คลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาดำเนินได้ตามปกติ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวที่ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักเข้าสู่ประเทศไทยและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยมีกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับใช้พักอาศัยทั้งถาวรและชั่วคราวจำนวนมาก ทั้งกลุ่มลุกค้าญี่ปุ่น จีน และประเทศในยุโรป อีกทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชนในปี พ.ศ.2565ที่ผ่านมาถือเป็นแรงสนับสนุนให้โครงการอสังหาริมทรัพย์หลายๆพื้นที่ได้รับอานิสงส์ที่ดีมีการขยายโครงการรองรับจำนวนกลุ่มผู้บริโภคสนใจเข้าอยู่เพิ่มขึ้น เช่นในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC นอกจากนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึงสิ้นปี พ.ศ.2566 และการเลือกตั้งและรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2566 จะเป็นตัวกระตุ้นยอดขายภาคอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการนั้นก็ยังเป็นเรื่องของสงครามระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่มีทีท่าจะยุติลง ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยากจะคาดเดา การปรับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ปัญหาหนี้ครัวเรือนภายในประเทศไทยที่เพิ่มสูงขึ้น การสิ้นสุดมาตรการผ่อนปรนอัตราส่วนซื้อการให้สินเชื่อซื้อบ้าน LTVและความวิตกกังวลเรื่อง COVID-19 ที่อาจจะกลับมาแพร่ระบาดอีกระลอกในอนาคต
ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจ และสภาวะอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ.2566 นี้จะยังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่บริษัทฯ มีความ เชื่อมั่นในแผนการดำเนินธุรกิจ การบริหารงาน และความเชี่ยวชาญของบริษัทโดยมุ่งเน้นการบริหารงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนตามหลัก ESC ได้แก่ Environmental Socialและ Governance อีกทั้งราคาบ้านในแต่ละโครงการที่เริ่มต้นตั้งแต่ 2-14 ล้านบาทได้ถูกจัดสรรกลุ่มผู้บริโภคทั้งที่เป็นกลุ่มทาวน์โฮมและบ้านจัดสรรในแต่ละโซนการก่อสร้างไว้อย่างชัดเจนและลงตัว จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายตัวได้ เดินหน้าสู่การเป็น National Property Company รวมทั้งจะมีการประเมินภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในแต่ละโครงการทุกๆไตรมาส เพื่อบริหารความเสี่ยงที่จะเข้ามาส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทประสบปัญหาและอุปสรรคไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ รวมทั้งสร้างความมั่นใจให้กลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความไว้วางใจเลือกเข้ามาเป็นลูกบ้านของบริษัทฯในแต่ละโครงการ ซึ่งในปี พ.ศ.2566 นี้ บริษัทฯตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกประมาณ10 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายยอดขายสำหรับปี 2566 นี้ไว้ที่ 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัว 10% สูงกว่าภาพรวมตลาดที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ3 – 5%
ชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี พ.ศ. 2566 นี้ จะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing โดยต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทาง Digital ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights จากการทำแผนการตลาดในช่วง COVID-19 ที่พบว่ากลุ่มลูกค้าที่สนใจโครงการอสังหาริมทรัพย์เลือกซื้อโครงการต่างๆผ่านทางออนไลน์ก่อนแล้วจึงค่อยมาดูโครงการจริงแล้วตัดสินใจซื้อโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demandโดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของ New Design ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ ดีไซน์บ้านให้ลดการใช้พลังงาน ระบายความร้อนไม่ให้บ้านร้อนจนเกินไป รวมทั้งออกแบบรองรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุเข้าสู่ชวงวัยชรามากขึ้น มีการออกแบบให้เครื่องใช้ สุขภัณฑ์ต่างๆอำนวยความสะดวกและปรับใช้อุปกรณ์รักษ์โลกเพิ่มขึ้น และ Smart Function ของตัวบ้าน มีให้เลือกที่หลากหลายตรงตามการใช้งานในทุกๆกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ในพื้นที่ส่วนกลางมีการนำรียูสน้ำกลับมาใช้ใหม่ ติดหลอดไฟ LED ให้แสงสว่างในพื้นที่สนาม เสาไฟฟ้าในหมู่บ้านเ เป็นต้น โดยช่วงปี พ.ศ.2565ที่ผ่านมา บริษัทฯเป็นรายแรกที่นำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้
ในส่วนของสถานะการเงิน บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4 – 1.5 เท่า โดยในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ได้จัดเตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ประมาณ 1,500 – 1,600 ล้านบาท สำหรับที่ดินที่ทางบริษัทฯมีอยู่และพร้อมจะพัฒนาโครงการใหม่ๆนั้นขอดูทิศทางและแนวนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศประกอบในช่วงครึ่งปีหลังปี พ.ศ.2566 ด้วย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน