สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เผยประเทศไทยได้ผ่านพ้นช่วงพีกสูงสุดค่าไฟไปแล้ว โดยงวดที่เหลือของปีนี้จะทยอยปรับอัตราลงได้ตามปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยแหล่งเอราวัณที่จะมีกำลังผลิตกลับมาสู่ปกติตามแผน ประกอบกับราคา LNG ที่มีราคาลดต่ำลง
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า อัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ของไทยงวด ม.ค.-เม.ย. 66 ที่แบ่งเป็น 2 อัตรา คือ กลุ่มบ้านอยู่อาศัย เฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น (ธุรกิอุตสาหกรรม บริการ อื่นๆ) เฉลี่ยอยู่ที่ 5.33 บาทต่อหน่วย ถือว่าเป็นอัตราสูงสุดแล้ว โดยจากนี้มีแนวโน้มจะลดลงสะท้อนจากงวดล่าสุด (พ.ค.-ส.ค. 66) ที่กลับมาเป็นอัตราเดียว เฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย และในงวดถัดไป หรืองวดที่เหลือของปีนี้ คาดว่าค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร (Ft) ก็จะปรับลดลง
“ปัจจัยที่จะทำให้ Ft ลดลงคือกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะแหล่งเอราวัณ (G1) ซึ่งตามข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุว่า กำลังการผลิตก๊าซฯ ในเดือน ก.ค.นี้จะเพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเดือน ธ.ค. 2566 จะเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากนั้นในเดือน เม.ย. 2567 จะเพิ่มเป็น 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตามเงื่อนไขสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตลาดจรเฉลี่ยมาอยู่ที่ 12-13 เหรียญต่อล้านบีทียูที่เป็นระดับปกติแล้ว” นายวัฒนพงษ์กล่าว
ส่วนความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีก) ของ 3 การไฟฟ้าปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 34,000 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งไม่น่าจะมีประเด็นน่ากังวลเพราะสำรองไฟฟ้าเพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยล่าสุดพีกปีนี้เกิดเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 เวลา 15.43 น. ที่ระดับ 31,054.6 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายตัวดีขึ้น ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มมากขึ้น การฟื้นตัวของภาคบริการ ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวทางช่วยเหลือค่าไฟฟ้าให้กลุ่มเปราะบาง ประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน รอบที่ 2 นั้น เบื้องต้นอยู่ระหว่างการหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และช่วงนี้ก็เป็นรัฐบาลรักษาการ อาจจะมีเรื่องของงบประมาณกลางต่างๆ ก็น่าจะนำมาช่วยเหลือได้ แต่คงต้องพิจารณาวิธีการที่เหมาะสม คาดว่าถ้าจะต้องอุดหนุนในรอบบิล พ.ค.-ส.ค. 2566 น่าจะต้องใช้งบประมาณใกล้เคียงกับรอบก่อน เต็มที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งก็มีทั้งการใช้งบประมาณกลางและเงินช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่น่าจะนำเข้ามาใช้ในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง หรือ ผู้มีรายได้น้อยได้ โดยในส่วนของบัตรสวัสดิการฯ ก็มีการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 350 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้ สนพ.ได้คาดการณ์ “แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2566” โดยอ้างอิงสมมติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าภาพรวมการใช้พลังงานในปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.8% อยู่ที่ระดับ 2,047 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน การใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์ จะเพิ่มขึ้น 0.7% จากการใช้ถ่านหินนำเข้าที่เพิ่มขึ้น การใช้น้ำมัน จะเพิ่มขึ้น 4.6% โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันเครื่องบิน จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวภายในประเทศ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินจากต่างประเทศ การใช้ก๊าซธรรมชาติ จะเพิ่มขึ้น 1.8% การใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า จะเพิ่มขึ้น 4.4% สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งความต้องการการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคาพลังงานนั้น สศช.คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปี พ.ศ.2566 จะอยู่ที่ 80.0-90.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2566 จะอยู่ที่ 32.2-33.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2566 จะขยายตัว 2.6% และเศรษฐกิจภายในประเทศ (GDP) ปี 2566 จะขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ การอุปโภคบริโภคภายในประเทศ และภาคการเกษตร