Advertisement
Leaderboard 728x90

คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) เผยการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการพัฒนาการลงทุนเพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค หวังสร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจฐานรากให้ได้รับประโยชน์ทั่วถึงมากขึ้น

ไตรศุลี ไตรสรณกุล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.) ครั้งที่ 2/2565 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานว่านายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างการประชุมว่า การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลในการพัฒนาการลงทุนเพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค สร้างโอกาสให้กับเศรษฐกิจฐานรากให้ได้รับประโยชน์ทั่วถึง ด้วยการพัฒนาทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 แห่งมีการเชื่อมโยงกับจังหวัดใกล้เคียง จังหวัดที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขออย่าได้กังวลว่าจะได้ไม่รับประโยชน์จากการพัฒนาที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลและกพศ.ให้ความสำคัญในการพัฒนาให้เกิดความเชื่อมโยง และสร้างประโยชน์ให้เกิดกับพื้นที่และจังหวัดโดยรอบการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมขนส่งโลจิสติกส์ขอให้ทุกภาคส่วนประสานงานกันในการขับเคลื่อน กำหนดกิจการเป้าหมาย สิทธิประโยชน์สำหรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษและเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่ดึงดูดนักลงทุนและภาคเอกชนให้มาลงทุนมากขึ้นเพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่

Advertisement
Kreamy Proof

นอกจากนี้ที่ประชุม กพศ. ได้พิจารณาเรื่องสำคัญโดยเฉพาะการกำหนดกิจการเป้าหมายสำหรับส่งเสริมการลงทุนเป็นการเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และส่งเสริมการพัฒนาสภาพแวดล้อมให้พร้อมเพื่อดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน โดยมีมติ ใน 3 เรื่อง ดังนี้

1.กำหนดกิจการเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ สำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ทั้ง 4 ภาค เห็นชอบคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจทั้ง 4 ภาค เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเหมาะสมตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เสนอคณะกรรมการฯพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษตามแนวทางที่ กพศ. ให้ความเห็นชอบต่อไป โดยมีพื้นที่และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ดังนี้

(1) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC – Creative LANNA) ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ 2) อุตสาหกรรมดิจิทัล3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ4) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร

(2) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC -Bioeconomy) ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมชีวภาพ และ 2) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร

Advertisement
The Xpozir

(3) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก (CWEC) ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่1) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และ 2) อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

(4) ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ( SEC) ในพื้นที่จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ส่งเสริมคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร 2) อุตสาหกรรมชีวภาพ และ 3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบข้อเสนอมาตรการ/ปัจจัยสนับสนุนที่จะให้แก่ผู้ประกอบกิจการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษเช่น การให้สิทธิประโยชน์ (ทางภาษีและมิใช่ภาษี) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวก การสนับสนุนเงินทุน และการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการประกอบกิจการ

2.การทบกวนกิจการเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง โดยเห็นชอบการทบทวนกิจการเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 10 แห่ง (ตาก สงขลา สระแก้ว ตราด เชียงราย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร กาญจนบุรี และนราธิวาส) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มด้านเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs เช่น เพิ่มเติมประเภทกิจการส่งเสริมการลงทุนอีก 17 ประเภทกิจการ (จาก 72 ประเภทกิจการ เป็น 89 ประเภทกิจการ) ปรับมาตรการสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน โดยมอบหมายให้ BOI ไปพิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนตามแนวทางที่ กพศ. ให้ความเห็นชอบ

3.การพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจตาก

โดย กพศ. เห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนให้เป็นผู้ได้รับสิทธิพัฒนาในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ตามข้อเสนอของคณะทำงานฯติดตามการดำเนินการของผู้ลงทุนในที่ดินราชพัสดุที่กำหนดเป็นพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีรูปแบบโครงการลงทุนเป็นการจัดสรรพื้นที่ให้เช่าโดยเป็นผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวมประมาณ 830 ล้านบาท ให้กรมธนารักษ์ดำเนินการต่อไป


Advertisement
Leaderboard 728x90
Advertisement
Billboard