บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group จัดพิธีเปิดโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration (ส่วนขยาย) อย่างเป็นทางการ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ บริษัท เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เพื่อขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนกับการพัฒนา ก่อสร้าง รวมทั้งสนับสนุนให้โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration (ส่วนขยาย) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้สำเร็จ
พิธีเปิดโรงไฟฟ้าฯ อย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจาก นายกัฬชัย เทพวรชัย (กลาง) รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง มาเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.กัมปนาท บำรุงกิจ (ที่ 2 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ EGCO Group และ Mr. Takashi Jahana, Managing Executive Officer (ที่ 2 จากขวา) บริษัท เจ.พาวเวอร์ จำกัด ร่วมเป็นประธานตัดริบบิ้น โดยมี นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต (ซ้ายสุด) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ รับผิดชอบสายลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ นายวันชัย รตินธร (ขวาสุด) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีทีซีแอล จำกัด (มหาชน) ร่วมเป็นสักขีพยาน
![อ่าวขนอม ซีฟู้ด](https://www.xpozir.com/wp-content/uploads/2024/02/Ao-Khanom-Seafood.jpg)
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีผู้ถือหุ้นร่วม บริษัท เจ.พาวเวอร์ เจนเนอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กลุ่มธนาคารผู้ให้เงินกู้ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการท้องถิ่น และชุมชนอำเภอเมืองระยอง อำเภอบ้านค่าย และอำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ให้เกียรติมาร่วมพิธีเปิดโรงไฟฟ้าฯ ในครั้งนี้
โรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration (ส่วนขยาย) ซึ่ง EGCO ถือหุ้น 80% และ J-Power Holdings (Thailand) Co., Ltd. ถือหุ้น 20% สร้างขึ้นเพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม มีกำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าประเภท Cogeneration ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทดแทน (SPP Replacement) จำนวน 28 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี และจำหน่ายไฟฟ้าส่วนที่เหลือและไอน้ำจากกระบวนการผลิตให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมระยองและพื้นที่ใกล้เคียง
โรงไฟฟ้าแห่งนี้ยังใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติต่อหน่วยลง 15% จากที่ใช้ในโรงไฟฟ้าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการดำเนินงานและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศ