“คาราบาว กรุ๊ป” ยักษ์เครื่องดื่มชูกำลัง ประกาศทำเบียร์ 2 ยี่ห้อ ได้แก่ เบียร์คาราบาว และ เบียร์ตะวันแดง โดยได้เปิดตัวเบียร์ใหม่ 5 รสชาติ เตรียมลงตลาดเบียร์มูลค่า 260,000 ล้านบาท ในเดือน พ.ย. 66 นี้
นายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ คร่ำหวอดกับเบียร์สด ผ่านร้านเยอรมันตะวันแดง ผ่านมา 20 ปี คาราบาวจึงได้ทุ่มงบประมาณ 4,000 ล้านบาท ทำเบียร์คาราบาว และเบียร์ตะวันแดง ครั้งแรกโดย20 กว่าปีก่อน เราไม่กล้าเข้าสู่ตลาดเบียร์ ด้วยตอนนั้นเจ้าตลาด 2 ราย ครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 90% แต่วันนี้เรามั่นใจจากการพัฒนาเบียร์ จึงเปิดตัวทีเดียว 5 รสชาติ
เบื้องต้น ได้สร้างโรงงานการผลิตเบียร์ในจังหวัดชัยนาท นำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ ทำกำลังการผลิตได้สูงสุด 400 ล้านลิตร นำร่อง เฟสแรกผลิต 200 ล้านลิตร ทั้งนี้คาราบาวมีเป้าหมายขึ้นเป็นท็อป 3 ของตลาดเบียร์ไทย โดยวางโพซิชั่นทั้ง 2 แบรนด์ ในเซ็กเมนต์อีโคโนมี มีสัดส่วนสูง 75% และสแตนดาร์ด มีสัดส่วน 20% ของตลาดเบียร์ 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งรวม ๆ กินส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 90% ของทั้งตลาด เพื่อเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภคให้เร็วที่สุด
-เบียร์คาราบาว วางเซ็กเมนต์อีโคโนมี – สแตนดาร์ด
-เบียร์ตะวันแดง วางเซ็กเมนต์สแตนดาร์ด – พรีเมียม
สำหรับกลยุทธ์เบียร์ของบริษัทฯ ที่ทำให้เหนือคู่แข่ง คือ การนำเสนอเบียร์คุณภาพระดับโลกในราคาเข้าถึงได้ โดยนำประสบการณ์จากการดำเนินธุรกิจโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ไมโครบริวเวอรี เบอร์ 1 ในไทย มาย่อส่วนสู่เบียร์ 2 แบรนด์นี้ โดยพยายามคงกลิ่นและรสชาติให้ใกล้เคียงกับเบียร์ที่โรงเบียร์ตลาดเบียร์ไทยมีแบรนด์ใหญ่ไม่กี่ยี่ห้อ ทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกมากนัก เบียร์คุณภาพสูงมักเป็นเบียร์นำเข้าราคาแพง ผู้บริโภคเข้าถึงยาก ช่องว่างตลาดเบียร์จึงมีอยู่มาก เพราะไม่มีใครกล้าเล่น จึงเป็นโอกาสของคาราบาว
บริษัทฯ จึงเปิดตัวสินค้า 5 รสชาติ จาก 2 แบรนด์ ดังนี้
1.เบียร์คาราบาว2 รสชาติ ได้แก่
-Lager Beer (เบียร์ลาเกอร์)
-Dunkel Beer (เบียร์ดุงเกล)
2.เบียร์ตะวันแดง เปิดตัว 3 รสชาติ ได้แก่
-Weizen Beer (เบียร์ไวเซ่น)
-Rose Beer (เบียร์โรเซ่)
-IPA Beer (เบียร์ไอพีเอ)
สำหรับราคาเบียร์คาราบาว แบบกระป๋อง 320 ml ราคา 45 บาท แบบ 490 ml ราคา 60 บาท ส่วนเบียร์ตะวันแดง แบบกระป๋องเล็กราคา 45 บาท และแบบกระป๋องใหญ่ 60 บาท
โดยเบียร์คาราบาว เราเน้นตัวเบียร์ดำ Dunkelถือเป็นครั้งแรกที่จะนำเบียร์ดำราคาเข้าถึงได้ ไปสู่ผู้บริโภคทั่วไป นี่เป็นไฮไลต์ของเรา ขณะนี้เริ่มขายมา 1 สัปดาห์ ได้รับผลตอบรับดี ผลิตยังไม่ทัน เราเชื่อว่าเบียร์จะเติบโตดีกว่าเหล้า เพราะเหล้าไม่โตก้าวกระโดด ขวดหนึ่งราคา 400 บาท เบียร์ขวดหนึ่ง 60 บาท กระป๋อง 40 บาท คนเข้าถึงง่ายกว่า
ขณะที่ปี 2567 บริษัทฯ เล็งออกเบียร์ส้มเพิ่มเติม ส่วนกำลังการผลิตภายในปี 2570 จะเพิ่มเป็น 400 ล้านลิตรต่อปี เพื่อให้ทันต่อความต้องการอย่างไรก็ตาม จากการมีผู้เล่นหลักในตลาดเบียร์ ซึ่งครองส่วนแบ่งกว่า 80% ถือเป็นความท้าทายของกลุ่มคาราบาวโดยกลยุทธ์หลักในช่วงแรกจะมุ่งศึกษาตลาดถึงมาตรฐานใหม่ของเบียร์ขั้วที่ 3 พร้อมทำให้ผู้บริโภคเข้าใจและเปิดใจว่าเบียร์ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก และเบียร์ที่คนนิยมดื่มกันในระดับสากลนั้นเป็นอย่างไร ทั้งเรื่องรสชาติ ความเข้มข้นที่แตกต่างจากเบียร์เดิมที่อยู่ในตลาดโดยทุ่มงบการตลาดมากที่สุดในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวเครื่องดื่มชูกำลัง “คาราบาวแดง” เตรียมกิจกรรมการตลาดอย่างครบเครื่องในทุกช่องทาง
หนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญคือ การตัดสินใจต่อสัญญาเป็นผู้สนับสนุนหลักการแข่งขันฟุตบอล Carabao Cup ต่อไปอีก 3 ปี กับ English Football League (EFL) จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2024 ซึ่งจะทำให้คาราบาวเป็นสปอนเซอร์หลักฟุตบอล Carabao Cup ไปจนถึงปี 2027 ซึ่งถือว่ายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ EFL
นอกจากนี้ จากกลยุทธ์ Sport Marketing คาราบาวคัพ พรุ่งนี้ (10 พ.ย. 66) เราเตรียมคุยพาร์ตเนอร์กัมพูชา ต่อจากนี้จะคุยกับพาร์ตเนอร์พม่า และออสเตรเลีย และก่อนรอบชิงชนะเลิศของ Carabao Cup เราจะนำเบียร์ไปขายที่อังกฤษให้ได้นี่คือกลยุทธ์ของเราเพื่อเป็นการสานต่อกลยุทธ์ Sport Marketing ระดับโลก จึงเปิดตัวแคมเปญใหญ่ เครื่องดื่มคาราบาวพาทุกคนไป “สัมผัสประสบการณ์ระดับโลก เชียร์บอล เชียร์บาว” กับการชมฟุตบอลระดับโลกติดขอบสนาม ร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีบินลัดฟ้าสู่ประเทศอังกฤษ ชมศึก Carabao Cup ฤดูกาล 2023/24 รอบชิงชนะเลิศซึ่งมั่นใจว่าจะเข้ามาสร้างกระแสและดึงให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์ พร้อมตอกย้ำความเป็นสินค้าระดับโลก แบรนด์ระดับโลก ให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น
อีกจุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทมั่นใจว่า เบียร์ทั้ง 2 แบรนด์จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี คือความแข็งแกร่งของแบรนด์ โดยเฉพาะ “คาราบาว” ซึ่งได้รับการยอมรับไม่เพียงประเทศไทยแต่ในระดับโลก ปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าไปยัง 42 ประเทศ ครอบคลุมทุกทวีปรวมทั้งเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอล EFL ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “คาราบาวคัพ” มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 ซึ่งทำให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ขณะที่ “ตะวันแดง” ก็ได้รับการยอมรับในฐานะโรงเบียร์ไมโครบริวเวอรี่ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกในประเทศไทย ที่ยืนอยู่ได้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ซึ่งกลุ่มคาราบาวตั้งเป้าว่าจะส่งออกสินค้าเบียร์ไปยังตลาดต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษและประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีร้านอาหารไทยจำนวนมากอันดับต้น ๆ ของโลก
ปัจจุบันตลาดเบียร์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว การเข้ามาในตลาดของกลุ่มคาราบาวในครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้เห็น Movement ของตลาดที่เปลี่ยนไป จากมาตรฐานใหม่ของเบียร์ที่บริษัทกำลังจะสร้างขึ้น และมาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย และจากมูลค่ารวมของตลาดแอลกอฮอล์ รวมกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น
บริษัทตั้งเป้าว่า “เบียร์” จะเป็นเครื่องจักรที่สำคัญ ที่จะพาสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์ให้เติบโตไปด้วย พร้อมเป็นแกนนำให้ธุรกิจอื่น ๆ ในเครือคาราบาวเติบโตมากขึ้นไปอีก
“เราจะเอาชนะในตลาดนี้ให้ได้ มีคำพูดว่าเราเป็นเบียร์ขั้วที่ 3 นั้นจริง เพราะเรามาทีหลัง แต่เราไม่คิดจะเป็นเพียงเบอร์ 3 เท่านั้นของตลาดเท่านั้น จะขึ้นไปสูงกว่านั้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 30% แต่ปีแรก คือ ปี 2567 เราคาดหวังได้ส่วนแบ่งตลาด 10%”นายเสถียรกล่าว