บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้งจำกัด (มหาชน) (SCGP) เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 97,517 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA 13,381 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 4,030 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาและปริมาณขายสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษที่ปรับลดลง
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) แถลงผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้จากการขาย 97,517 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA 13,381 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
มีกำไรสำหรับงวด 4,030 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาและปริมาณขายสินค้ากระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อกระดาษที่ปรับลดลง
สำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 SCGP มีรายได้จากการขาย 31,572 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
มี EBITDA อยู่ที่ 4,229 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 23 เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไร 1,325 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28 เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุจากราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย ปริมาณการส่งออกไปยังประเทศจีนที่ลดลง และปริมาณขายและราคาขายเยื่อกระดาษที่ลดลง
SCGP ได้ดำเนินตามกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะตลาด โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มยอดขายบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโตได้ดีในอาเซียนสำหรับการบริโภคภายในประเทศ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป ผลไม้ และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค จากความต้องการใช้ในประเทศไทยและเวียดนามที่เพิ่มขึ้น การส่งออกในสินค้ากลุ่มนี้ที่เริ่มฟื้นตัวรวมถึงส่งเสริมพนักงานให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบการทำงานและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ โดยโรงงานในไทยสามารถประหยัดต้นทุนด้านพลังงานได้ถึงปีละ 130 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 30,000 ตันคาร์บอนต่อปี ในปี 2566
แนวโน้มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคจะทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของภาคการผลิตและการปรับขึ้นราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ เป็นปัจจัยบวกให้กับการส่งออกของอาเซียน
ส่วนธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะได้รับปัจจัยบวกจากการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งจะกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและดีมานด์บรรจุภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สำหรับความคืบหน้าโครงการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ในประเทศไทย ได้เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา และโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษในประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2567ธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ Peute (เพอเธ่) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เตรียมเปิดโรงงานแห่งใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งจะทำให้มีความสามารถจัดหากระดาษและพลาสติกรีไซเคิลเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
ในส่วนความคืบหน้าการลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ประเทศเวียดนาม คาดว่าดีลจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4 นี้ นอกจากนี้ยังเตรียมลงทุนในบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้าและรองรับการขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก และการลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าและต่อยอด Value Chain ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้