บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD) ผู้นำธุรกิจเซรามิก วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนเผยผลประกอบการ SCGD 9 เดือนแรกปี 67 คว้ากำไร 730 ล้านบาท เพิ่ม 15% จากปีก่อน แม้ฝ่ามรสุมรอบด้าน ไตรมาส 3 ยังกำไร 189 ล้านบาทเล็งลดต้นทุนต่อ รัดเข็มขัด ใช้พลังงานสะอาด พร้อมหารายได้เพิ่มขยายช่องทางจัดจำหน่าย ผลิตกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนในเวียดนามที่เติบโตสูง
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor (SCGD)กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจอาเซียนยังไม่ฟื้นตัว โครงการก่อสร้างในประเทศชะลอตัวเกิดอุทกภัยทางภาคเหนือ ภาคกลางของประเทศเวียดนาม และภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยอุปสงค์ตลาดก่อสร้าง-ค้าปลีกในฟิลิปปินส์ยังอ่อนตัวอินโดนีเซียอยู่ระหว่างรอการอนุมัติงบฯ โครงการต่าง ๆจากภาครัฐหลังประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่ง แต่ SCGD สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่เน้นความคุ้มค่า สะดวกสบายและรักษ์โลกตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ส่งผลให้ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2567 มีกำไร 730 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 2,530 ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้จากการขาย 19,585 ล้านบาท จะลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 6,235 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 189 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายโดยรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) 766 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อนและลดลงร้อยละ 13 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เร่งปรับตัวต่อเนื่อง แม้เผชิญความท้าทายรอบด้านโดยบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนากระบวนการผลิตต่อเนื่องมุ่งใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดต้นทุน โดยไตรมาส 3 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์ทั้งหมด 36.3 เมกกะวัตต์ คิดเป็น 10.7% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งประเทศไทยผลิตได้ 24.7 เมกกะวัตต์ส่วนประเทศเวียดนามติดตั้งโซล่าเซลล์เพิ่มเติม 1.9 เมกะวัตต์รวมกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าในต่างประเทศเป็น 11.6 เมกกะวัตต์นอกจากนั้นได้จัดสรรงบลงทุน 63.2 ล้านบาท ดำเนินโครงการ Hot Air Generator เพิ่มเติมที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมหนองแค (NKIE) จะช่วยลดต้นทุนได้ 16.8 ล้านบาทต่อปี คาดแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี 2568 ปัจจุบันบริษัทฯใช้พลังงานชีวมวลคิดเป็น 19.3% ของพลังงานความร้อนทั้งหมด
ในอนาคต ตลาดก่อสร้าง ตกแต่งในภูมิภาคมีแนวโน้มเติบโตสูง บริษัทฯเตรียมคว้าโอกาสนี้ด้วยการขยายกระเบื้องเกรซพอร์ซเลนขนาดใหญ่ในไทยและเวียดนามตั้งเป้ารวม 14 ล้านตารางเมตรภายในสิ้นปี 2568 และจัดสรรงบลงทุน 167 ล้านบาทเพื่อปรับไลน์ผลิตกระเบื้องเซรามิกเป็นกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่กำลังการผลิต 2.5 ล้านตารางเมตร ที่เมืองฟู้เอียน (Pho Yen) ประเทศเวียดนามซึ่งจะแล้วเสร็จช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 ขณะเดียวกันยังขยายช่องทางจำหน่ายให้เข้าถึงลูกค้าได้สะดวกยิ่งขึ้นล่าสุดจับมือกับบริษัท VAN PHUC TRADING Company Limited ด้วยทุนจดทะเบียน 17 ล้านบาท เปิดร้านจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ V-Ceramic ในรูปแบบ Manufacturing Outlet สาขาแรกทางภาคใต้ของเวียดนามเมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเตรียมพร้อมตลาดที่กำลังเติบโตและรองรับสินค้าจากการจัดตั้งโรงงานกระเบื้องทางตอนใต้ของเวียดนามนอกจากนี้ บริษัทฯ จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายด้านสุขภัณฑ์กว่า 170 รายในอาเซียนทั้งนี้ ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มียอดขายสุขภัณฑ์ในอาเซียนกว่า 460 ล้านบาท อีกทั้งเร่งขยายธุรกิจวัสดุปิดผิวธุรกิจสุขภัณฑ์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง (Complementary) อาทิ ปูนกาวยาแนวท็อปเคาน์เตอร์ครัว บานประตูหน้าต่างเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและแสวงหาลูกค้าใหม่ ตามเป้าหมายเพิ่มรายได้เป็น 2 เท่า ภายในปี 2573
“บริษัทฯ นำความต้องการของลูกค้ามาสร้างสรรค์สุขภัณฑ์กระเบื้องคุณภาพสูงตอบเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ อาทิ วัสดุปิดผิว LT by COTTO สำหรับสัตว์เลี้ยง ฝักบัวอาบน้ำสำหรับสัตว์เลี้ยง ตู้เฟอร์นิเจอร์ห้องน้ำผลิตจากวัสดุคอมโพสิต แข็งแรง ทนทาน หน้าต่างประตูสำเร็จรูปไทเทเนียมและเคาน์เตอร์ท็อปครัวที่ทนทานการใช้งาน ลดการดูดซึมของเหลวบนผิวหน้าซึ่งช่วยยกระดับแบรนด์สินค้าให้ครองใจผู้บริโภค ล่าสุด COTTO ได้รับรางวัลแบรนด์วัสดุปิดผิวและแบรนด์สุขภัณฑ์ชั้นนำ “ Marketeer Number 1 Brand Thailand” จากสื่อ Marketeer “รางวัลวัสดุก่อสร้างที่ออกแบบมาเพื่อสัตว์เลี้ยงดีเด่น” (Pet Award สำหรับวัสดุปูพื้น LT by COTTO) จากบ้านและสวน และ “รางวัลแบรนด์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย” Asia Excellent Brand Awards 2024 ในประเทศเวียดนาม” นายนำพล กล่าว
สืบเนื่องจากการแจ้งข่าวของบริษัทฯ ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่อง PT Keramika Indonesia AssosiasiTbk (หรือ “KIA”) และบริษัทลูก ซึ่ง KIA ได้ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซียเพื่อขอให้ยกเลิกการเรียกร้องที่หน่วยงานรัฐแจ้งว่า KIA มีหนี้ต่อรัฐบาลอินโดนีเซีย มูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาทและขอให้ยกเลิกระงับการเข้าระบบจดแจ้งทางทะเบียนกับ Ministry of Law and Human Rights (MOLHR) ของ KIA และบริษัทลูกเนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายย่อยซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งของ KIA นั้น
ที่ผ่านมา KIA และบริษัทลูกได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซียเป็นอย่างดีชี้แจงแล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อตั้งของ KIA โดยหุ้น KIA ที่ได้มาโดยสุจริตในตลาดหลักทรัพย์และได้ใช้ที่ปรึกษาทางกฎหมายชั้นนำของประเทศอินโดนีเซียในการตรวจสอบแล้วว่าทั้งหุ้น KIA และ KIA และบริษัทลูกเองก็ไม่มีภาระหนี้ใดๆ กับรัฐบาลอินโดนีเซีย
ล่าสุด ถึงแม้ว่า ศาลสูง ประเทศอินโดนีเซียได้ตัดสินยืนยันตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซีย KIA และบริษัทลูก จะดำเนินการโต้แย้งต่อศาลฏีภาเพื่อขอให้ทบทวนคำพิพากษาข้างต้น และเหตุผลที่ชัดเจนต่อไป