บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCCเผยผลประกอบการ กำไรไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 721 ล้านบาทลดลง 70% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมาจากการบันทึกขาดทุนการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขณะที่โครงการ LSP เวียดนาม อัดงบ 2.3 หมื่นล้านบาทเพื่อเพิ่มวัตถุดิบการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทนคาดแล้วเสร็จปลายปี 70
นายธรรมศักดิ์เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCCเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2567 บริษัทมีรายได้จากการขาย 128,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) และ SCGP โดยมีกำไรสำหรับงวด 721 ล้านบาท ลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 81% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากรับรู้ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและได้รับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขาย 380,660 ล้านบาทใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของ SCGC และ SCGPในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมียอดขายลดลงโดยมีกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปี 2566 และ SCGC มีผลการดำเนินงานลดลง จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายของโรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนามและส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
สำหรับโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ประเทศเวียดนามจะดำเนินโครงการเพิ่มวัตถุดิบการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทนด้วยงบประมาณลงทุนรวมประมาณ 700 ล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท) โดย LSP อยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐของประเทศเวียดนามเบื้องต้น LSP จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายใน SCC และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570
โครงการดังกล่าวช่วยให้ LSP สามารถรับวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐฯและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงงาน LSP อย่างมีนัยสำคัญโดยมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้นพร้อมทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ของ LSP ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรับวัตถุดิบประเภทก๊าซได้ดังนั้นงบประมาณลงทุนส่วนใหญ่ของโครงการจะนำไปใช้สำหรับการสร้างระบบการจัดการและถังเก็บรักษาวัตถุดิบก๊าซอีเทนซึ่งต้องอยู่ภายใต้อุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียสเมื่อโครงการแล้วเสร็จ โรงงาน LSP จะสามารถรับก๊าซอีเทนได้มากถึงสองในสามส่วนของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมดโดยส่วนที่เหลือจะเป็นก๊าซโพรเพนและแนฟทา
ทั้งนี้ LSP มีมูลค่าการลงทุน 5.2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 170,000 ล้านบาท)โดยหลังจากการทดสอบการเดินเครื่องจักรขั้นสุดท้าย โรงงาน LSP ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567