บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC คาดไตรมาส 3 การใช้น้ำมันและปิโตรเคมีฟื้น พร้อมเร่งปรับตัวเพิ่มความเข้มแข็งเครือข่ายโลจิสติกส์ลุยเปิดคลังน้ำมันขนส่งทางท่อ ขยายโอกาสรุกตลาดนวัตกรรมสีและสารเคลือบผิว แจงผลดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ขาดทุนสุทธิ 2,246 ล้านบาท มาจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง
นายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 เทียบกับไตรมาส 1/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 70,755 ล้านบาท ลดลง 5,005 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 สาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 6 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง และปริมาณขายลดลงร้อยละ 1 โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,168 ล้านบาท หรือ 6.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 41 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล และมีการบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม (Net Inventory Loss) 961 ล้านบาท หรือ 1.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 3,207 ล้านบาท หรือ 5.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 2,135 ล้านบาท หรือ 3.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 110 ล้านบาท ลดลง 1,910 ล้านบาท หรือร้อยละ 95 และผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ขาดทุนสุทธิ 2,246 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 301 ล้านบาท
ในส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/2566 ว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน ที่มีราคาเฉลี่ย 80.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 77.78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลต่อความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยแม้ว่ากลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตเพิ่มอีกวันละ 1.66 ล้านบาร์เรลไปถึงสิ้นปี 2567 เพื่อพยุงราคาน้ำมัน ประกอบกับความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีก็ยังคงอยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากความต้องการในประเทศจีนไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้
สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 146,515 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 26 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยมี Market GIM อยู่ที่ 11,252 ล้านบาท หรือ 9.28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลงร้อยละ 32 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลง และบันทึก Net Inventory Loss 2,703 ล้านบาท หรือ 2.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเทียบกับปีก่อนที่บริษัทฯ มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 4,488 ล้านบาท หรือ 3.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทฯ มี Accounting GIM จำนวน 8,549 ล้านบาท หรือ 7.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 12,606 ล้านบาท หรือ 10.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลส่งผลให้บริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 2,130 ล้านบาท ลดลง 12,491 ล้านบาท หรือร้อยละ 85 และผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 1,945 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,334 ล้านบาท
สำหรับการคาดการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2566 มีแนวโน้มปริมาณการใช้น้ำมันโลกเพิ่มขึ้น จากการเดินทางช่วงฤดูร้อนของประเทศแถบซีกโลกเหนือ แต่อาจมีปัจจัยกดดัน เช่น เฟดขึ้นดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ ทั้งนี้ การลดกำลังผลิตของโอเปก 4.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาน้ำมัน ส่วนแนวโน้มตลาดปิโตรเคมีไตรมาส 3/2566 คาดว่ายังทรงตัว เพราะตลาดหลักจากจีนมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้ความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตเงินฝืดในจีนทำให้ผู้ซื้อส่วนใหญ่รอดูสถานการณ์ หรือซื้อเท่าที่จำเป็น ขณะที่ส่วนต่างราคาอาจถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่อาจจะสูงขึ้น รวมถึงจีนและเวียดนามที่อาจจะทยอยเพิ่มกำลังการผลิต แต่ช่วงปลายไตรมาสนี้อาจเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลผลิต Manufacturing Season ของธุรกิจปิโตรเคมีที่ความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายทางจะเพิ่มขึ้นก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี
นอกจากนี้ IRPC และบริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ จำกัด (BFPL) ร่วมดำเนินการเปิดคลังน้ำมันแห่งใหม่ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อขยายเครือข่ายขนส่งน้ำมันทางท่อความยาว 99 กิโลเมตร รองรับความต้องการใช้พลังงานภาคขนส่งในภาคกลางและภาคเหนือ ด้วยการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมเวลา ลดค่าใช้จ่าย และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคขนส่ง
บริษัทฯ ยังร่วมมือกับบริษัท เบเยอร์ จำกัด ขยายตลาดเพื่อรุกธุรกิจนวัตกรรมสีและสารเคลือบผิวมาตรฐานโลกเป็นครั้งแรกของประเทศ จึงมีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ช่วยยืดอายุการใช้งานโครงสร้างเหล็กถึงสามเท่า