นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ตามเป้าหมายระยะสั้น คือ ลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emissions Intensity) ลง 10% ภายในปี 2030 (2573) และเป้าหมายระยะยาว คือ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 (2593) โดยเฉพาะการส่งเสริมแผนการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยมีความเชื่อมั่นว่าเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจะเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญและมีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว รวมถึงมุ่งมั่นผลักดันการใช้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ที่สะอาดขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าที่ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ความร่วมมือระหว่างเอ็กโก กรุ๊ป ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจผลิตไฟฟ้ามากว่า 31 ปี และบีไอจี ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและไฮโดรเจนเชิงพาณิชย์มากว่า 35 ปี จะช่วยผลักดันเป้าหมายการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของทั้งสององค์กรและของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรม ตลอดจนช่วยต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระหว่างองค์กรในอนาคต ทั้งนี้ เอ็กโก กรุ๊ป จะนำผลการศึกษาจากความร่วมมือครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยเซลล์เชื้อเพลิงจากไฮโดรเจน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดในกลุ่มเอ็กโก เพื่อส่งเสริมให้เกิดการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงทางเลือกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี กล่าวว่า บีไอจี เป็นบริษัทในเครือ Air Products จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมุ่งมั่นในการสร้างความยั่งยืนในประเทศไทย เป็นผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเป็นผู้ผลิตก๊าซไฮโดรเจนรายใหญ่ที่สุดของไทย เราเชื่อมั่นว่าการจะแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ ก๊าซไฮโดรเจนจะเข้ามามีส่วนสำคัญ บีไอจีเป็นผู้ผลักดันและให้ความสำคัญกับการผลิตและใช้ไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ โดย Air Products บริษัทแม่ของบีไอจี เป็นผู้นำนวัตกรรมการใช้ไฮโดรเจนเพื่อความยั่งยืนและการผลิตไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำอันดับหนึ่งของโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฮโดรเจนเพื่อประโยชน์ในการกักเก็บพลังงาน การใช้เป็นแหล่งพลังงานสะอาดสำหรับในภาคอุตสาหกรรม และการใช้ไฮโดรเจนในการขับเคลื่อนยานยนต์ เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการผสานความเชี่ยวชาญของทั้งสององค์กร เพื่อพัฒนาธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าไปสู่เป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างยั่งยืน
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,202 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,249 เมกะวัตต์ (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และเซลล์เชื้อเพลิง โดยได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) มา 3 ปีต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (“ทีพีเอ็น”) โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” ตลอดจนยังได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน (“เพียร์พาวเวอร์”) บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม (“อินโนพาวเวอร์”) ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.egco.com และเฟซบุ๊กwww.facebook.com/EGCOGroup