“สำนักงาน กกพ.” ปลดล็อกข้อจำกัด ลดขั้นตอนการจดแจ้งโซลาร์เซลล์ เร่งกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น เปิดทางให้ทั้งประชาชนและผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าใช้เองและขายได้สะดวก มุ่งสู่เป้าหมายพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการไฟฟ้า สำหรับกิจการผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวมของแต่ละแหล่งผลิต ต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน กกพ. ได้ออกประกาศ  “เรื่อง ขั้นตอนการรับแจ้งการประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการไฟฟ้า พ.ศ. 2568” โดยมีการปรับปรุงขั้นตอนเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติและลดขั้นตอนการรับแจ้งให้เกิดความรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือ การยกเว้นการขอรับใบอนุญาต สำหรับกิจการผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวมของแต่ละแหล่งผลิต ต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ไฟฟ้าในกิจการของตนเอง หรือผลิตเพื่อจำหน่ายไฟฟ้า ซึ่งประกาศดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2568 เป็นต้นไป

“กกพ. เดินหน้าสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีมติลดขั้นตอนในการยกเว้นการจดแจ้งโซลาร์เซลล์ทั้งผลิตเพื่อใช้เองและผลิตไว้เพื่อขาย คาดว่าจะทำให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้รับความสะดวกอย่างเต็มที่ มีการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างแพร่หลาย โดยหวังว่าจะช่วยลดภาระค่าพลังงาน ค่าครองชีพ และยังจะเป็นการสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อีกทางหนึ่งด้วย”

สำหรับประกาศดังกล่าว สำนักงาน กกพ. ได้ดำเนินการยกเลิกประกาศ เรื่อง ขั้นตอนการรับแจ้ง

การประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า (ลงวันที่ 28 กันยายน 2565) โดยให้กิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการไฟฟ้า ซึ่งเป็นกิจการที่ต้องแจ้งต่อสำนักงาน กกพ. ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้

1. กิจการผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตต่ำกว่า 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ และไม่ต้องขอรับใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พค.2)

สำหรับกรณีที่ 1 กรณีเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย

ผู้ประกอบกิจการพลังงานสามารถยื่นคำขอตรวจสอบแบบและระบบไฟฟ้า เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ผ่านระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (ถือว่าได้ยื่นคำขอแจ้งการประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตฯ) และการไฟฟ้าจะส่งข้อมูลเมื่อผ่านการพิจารณามายังสำนักงาน กกพ. เพื่อแจ้งผลการแจ้งยกเว้นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และประกาศรายชื่อผู้ได้รับการยกเว้นบนเว็บไซต์สำนักงาน www.erc.or.th

สำหรับกรณีที่ 2 กรณีเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของผู้อื่นที่มิใช่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ผู้ประกอบกิจการพลังงานสามารถยื่นคำขอแจ้งการประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้น

ไม่ต้องขอรับใบอนุญาตฯ พร้อมหนังสือรับพิจารณาการเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า โดยทำผ่านระบบของสำนักงาน กกพ. www.erc.or.th และทางสำนักงาน กกพ. จะแจ้งผลเมื่อได้รับเอกสารครบถ้วนภายใน 5 วันและประกาศรายชื่อบนเว็บไซต์ต่อไป

2. กิจการผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ ขึ้นไปแต่ต่ำกว่า 1,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ และต้องขอรับใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พค.2)

สำหรับกรณีที่ 1 กรณีเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ผู้ประกอบกิจการพลังงานสามารถยื่นคำขอตรวจสอบแบบและระบบไฟฟ้า เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ผ่านระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (ให้ถือว่าได้ยื่นคำขอแจ้งการประกอบกิจการพลังงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขอรับใบอนุญาตฯ) และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า หากเชื่อมต่อระบบการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ จะส่งข้อมูลมายังสำนักงาน กกพ. เพื่อแจ้งผลการแจ้งยกเว้นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และประกาศรายชื่อผู้ได้รับการยกเว้นบนเว็บไซต์สำนักงาน www.erc.or.thเมื่อผู้ประกอบการได้ติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์แล้วเสร็จ ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตพลังงานควบคุม (พค.1) มายังสำนักงาน กกพ. เพื่อใช้ประกอบเอกสารในการส่งต่อไปยังกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อขอความเห็นประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พค.2) สำหรับประกอบการอนุญาตของ กกพ. ต่อไป

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับปรุงกฎระเบียบ

การปรับปรุงระเบียบและประกาศฉบับใหม่นี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ ทั้งต่อภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และต่อประเทศไทยโดยรวม ดังนี้

ด้านเศรษฐกิจและพลังงาน

การปลดล็อกข้อจำกัดด้านการขออนุญาตติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์นี้ จะช่วยกระตุ้นให้มีการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และยังช่วยลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2580

ด้านสิ่งแวดล้อม

การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยได้ให้คำมั่นไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 ซึ่งการสนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์จะเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

ด้านประชาชนและผู้ประกอบการ

ประชาชนและผู้ประกอบการจะได้รับความสะดวกในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการขออนุญาต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินการและเอื้อให้เกิดการขยายตัวของการใช้พลังงานสะอาดในวงกว้าง

นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว ซึ่งเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและลดต้นทุนการผลิตของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาพลังงานมีความผันผวนและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แนวโน้มและทิศทางของพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย

นับเป็นสัญญาณที่ดีที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านพลังงานของไทย เริ่มมีการปรับตัวและผ่อนคลายกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานเพิ่มขึ้น ลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และยังเป็นการรองรับการเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต

ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีกำลังการผลิตติดตั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ประมาณ 2,800 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 10,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2580 ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP2022) ซึ่งการปรับปรุงกฎระเบียบในครั้งนี้ จะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะมีการต่อยอดการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ ต่อไปในอนาคต เช่น พลังงานลม พลังงานชีวมวล และพลังงานน้ำขนาดเล็ก เพื่อให้ประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้น และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างความยั่งยืนทางพลังงานในระยะยาวอีกด้วย

แนวทางการขอรับบริการและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ประชาชนและผู้ประกอบการที่สนใจติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) หรือที่ศูนย์บริการประชาชน ผ่านสายด่วน โทร 1204 ในวันและเวลาราชการ หรือสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.erc.or.th

นอกจากนี้ ผู้สนใจยังสามารถศึกษาขั้นตอนการยื่นคำขอตรวจสอบแบบและระบบไฟฟ้าได้จากเว็บไซต์ของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยสามารถใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

ทั้งนี้ การติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ควรดำเนินการโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและได้รับการรับรองตามมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน โดยผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับการรับรองได้จากสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย หรือกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน

บทสรุป: ก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย

การปลดล็อกข้อจำกัดในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศอีกด้วย

โดยคาดว่าการปรับปรุงกฎระเบียบในครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น ทั้งในระดับครัวเรือนและระดับอุตสาหกรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และที่สำคัญคือช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว

ทั้งนี้ การผลักดันนโยบายด้านพลังงานสะอาดของประเทศไทย จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยในอนาคต

แม้ว่าจะมีการปลดล็อกข้อจำกัดด้านการขออนุญาตในครั้งนี้ แต่ยังมีความท้าทายอีกหลายประการที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้าให้รองรับการเชื่อมต่อของพลังงานหมุนเวียน การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชนถึงประโยชน์ของพลังงานสะอาด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนต่อไป


Leave a Reply